การถ่ายภาพสินค้าให้ดูน่าสนใจ

วิธีการถ่ายรูปให้ดูสวยนั้นต่างจากการถ่ายเพื่อหลอกลวง เพราะเราแค่พยายามจัดองค์ประกอบภาพให้ดูดี มีสไตล์ ดูโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่น เพราะการมองเห็นถือเป็นการรับรู้ที่ดีเยี่ยมของมนุษย์เลยก็ว่าได้ เพราะการถ่ายภาพสินค้านั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่าภาพถ่ายสินค้าที่ออกมานั้น มีผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของลูกค้าหรือผู้พบเห็นมาก เช่น สีสันของภาพ ความละเอียด มุมมอง จะช่วยสื่ออารมณ์ของผู้พบเห็นได้อย่างมาก ดังนั้นภาพที่เราใช้สื่อควรออกมาดูดี มีคุณภาพและสื่อถึงอารมณ์ให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นแล้วเกิดความสนใจ และตัดสินใจได้ทันที เพราะมีรายละเอียดครบถ้วน ที่อธิบายไว้บนภาพถ่ายของเราไว้แล้ว

เนื่องจากปัญหาของภาพสินค้าส่วนใหญ่คือภาพมักจะออกมามืด ไม่สว่างสดใสอย่างที่ควรจะเป็น วิธีแก้ไขที่ทำได้ง่ายที่สุดก็คือ การออกไปถ่ายภาพนอกอาคารโดยใช้แสงธรรมชาติ เวลาที่ดีที่สุดจะเป็นช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็น เพราะแสงไม่แรงจนเกินไปและมีปริมาณแสงที่เพียงพอต่อการถ่ายภาพ เราไม่จำเป็นต้องเปิดแฟลช ใช้ขาตั้งหรือจัดแสงใดๆ ภาพสินค้าก็จะออกมาชัดเจน สว่าง และมีสีที่ตรงกับสินค้าจริง ซึ่งถ้าภาพออกมาสวยตั้งแต่หลังกล้องแล้ว ก็แทบไม่จำเป็นจะต้องแต่งภาพแต่ถ้าใครไม่สะดวกที่จะออกไปถ่ายภาพด้านนอก หรือว่าบริเวณบ้านไม่มีพื้นที่เพียงพอ การถ่ายภาพสินค้าในอาคารก็สามารถทำได้เช่นกัน ควรเลือกถ่ายบริเวณใกล้หน้าต่างเพื่อให้รับแสงได้มากที่สุด

ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพสินค้าที่มักพบเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆก็คือ การใช้ฉากหลังที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นหากคิดจะถ่ายสินค้าให้ดูดีแล้ว ควรเลือกฉากหลังให้ดี ฉากหลังที่ดีควรเป็นสีเรียบๆ ไม่ควรมีสีฉูดฉาดหรือสะท้อนแสงมาก ง่ายๆ เลยก็คือ หากระดาษสีขาวหรือสีดำ แผ่นใหญ่ๆ หน่อย สีละสองแผ่น แผ่นหนึ่งใช้รองพื้น ส่วนอีกแผ่นใช้เป็นฉากหลัง หรือหากอยากได้พื้นที่สะท้อนตัวสินค้า สำหรับการปรับแต่งไฟล์ให้เหมาะสม เมื่อได้ภาพมาแล้ว ให้ตรวจสอบว่ามีรอยฝุ่นผงใดๆ ที่อาจติดมาจากเลนส์หรือเซนเซอร์ ให้ทำการลบออกให้เรียบร้อย อาจทำการปรับแต่งสีสันเพิ่มเติมได้ จากนั้นทำการย่อขนาดของภาพให้เหมาะสม สุดท้ายให้ทำการเพิ่มความคมชัดเนื่องจากเวลาเราย่อขนาด ภาพจะสูญเสียความคมไป ก่อนจะเซฟก็ควรเลือกการบีบอัดให้ดีๆ เลือกระดับการบีบอัดที่พอดีๆ อย่าให้ภาพเละมากเกินไป

ขอบเขตในการถ่ายภาพที่นำมาเรียบเรียงในเอกสารฉบับนี้ไม่ได้จำกัดแต่งานทางการถ่ายภาพ

31

ขอบเขตในการถ่ายภาพที่นำมาเรียบเรียงในเอกสารฉบับนี้ไม่ได้จำกัดแต่งานทางการถ่ายภาพ ในงานส่งเสริม การเกษตรเท่านั้น แต่ควรจะศึกษาการถ่ายภาพในทุกรูปแบบ แล้วนำไปปรับใช้ให้ถูกกับลักษณะงานของแต่ละบุคคลดังนั้น ควรที่จะศึกษาถึงพื้นฐานที่มาของการกำเนิดกล้องจนถึงปัจจุบัน และเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในแต่ละหัวข้อเรื่องนั้นก็ยังสามารถแตกแขนงย่อยได้อีกมากมาย ซึ่งหาอ่านและศึกษาได้จากเอกสารและตำราอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านการถ่ายภาพ

ในสมัยโบราณมนุษย์ได้พยายามจะบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว ไว้ด้วยการวาดภาพและแกะสลัก บนฝาผนัง และได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึงวาดภาพรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตโดยมีจินตนาการเป็นผู้วาดต่อมาในศตวรรษที่ 16 จิตรกรได้ใช้เครื่องมือช่วยในการวาดภาพ เครื่องมือชนิดหนึ่งเรียกว่า คามิรา ออบสคูราเป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ถึงวิธีการทำภาพถ่าย สมัยแรกของโลกคามิรา ออบสคูรา กำเนิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติที่มองเห็นลำแสงส่องผ่านรูเล็ก ๆ ของฝาผนังห้องหนึ่งไป ปรากฎเป็นภาพบนฝาผนังด้านตรงข้าม ซึ่งอริสโตเติล นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกได้จดบันทึก ไว้เป็นครั้งแรกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราชว่า ถ้าเราทำห้องให้มืด ๆ แล้วปล่อยให้แสงผ่านเข้าไปทางรูเข็มเล็ก ๆ แล้วถือกระดาษขาว ให้ห่างจากรูเข็มประมาณ 6 นิ้ว แสงที่ผ่านเข้ามาจากภายนอกจะปรากฏเป็นภาพบนกระดาษมีลักษณะหัวกลับ แต่ไม่ค่อยชัดเจน ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเป็นจะเริ่มต้นของการประดิษฐ์กล้องรูเข็ม และได้มีการพัฒนาเรื่อยมา จะสังเกตได้ว่าการพัฒนากล้องถ่ายภาพในระยะแรกนั้นยังต้องอาศัยจิตรกรวาดภาพด้วย การลอกไปตามแบบที่ปรากฎ เป็นเงา

ในระยะเวลาต่อมาประมาณ 50 ปี นับจากการกำเนิดกล้องออบสคูรา ได้มีการคิดค้นเลนส์และไดอะแฟรม เกิดขึ้น เพื่อให้ความสว่างมากขึ้น โดยนำมาติดที่กล้อง ยังช่วยให้ภาพคมชัดขึ้นด้วย นับจากต้นคริสต์ที่ 18 เป็นต้นมานักวิทยาศาสตร์และจิตรกรได้พยายามคิดค้นหาวิธีการทำให้กล้องออบสคูรา ดังกล่าวรับภาพบนจอและกลายเป็นภาพขึ้นซึ่งเป็นที่มาของการถ่ายภาพต่อมาได้มีการคิดค้นวัสดุไวแสงกับการคงสถานภาพเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2270 โดยการใช้สารเคมี ประเภทเกลือเงินฉาบบนวัสดุรองรับ จนถึง พ.ศ. 2380 หลุย จาคเคอร์ เมนเดคาร์แกร์ ประสบผลสำเร็จในการทำภาพให้ติดถาวร ด้วยสารละลายเกลือธรรมดา เมื่อนำไปใช้ถ่ายภาพจะ ได้ภาพโพสิตีฟ เรียกว่ากระบวนการคาร์แกร์โรไทฟ์ ซึ่งต่อมาได้รับการพัฒนาและเผยแพร่เป็นที่นิยมไปทั่ว และคาร์แกร์นี้เองที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาการถ่ายภาพสมัยใหม่

การถ่ายภาพแบบฮิปสเตอร์กำลังอินเทรนด์หลายคนถ่ายแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย

Trendy young people on Bedford Avenue in Brooklyn, New York City, America, USA

การถ่ายภาพแบบฮิปสเตอร์ กำลังอินเทรนด์ หลายคนถ่าย แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย โชว์สไตล์ของตัวเอง แต่หากใครสนใจอีกสไตล์หนึ่ง ลองไปดูภาพถ่ายของสาวญี่ปุ่นคนนี้ แต่ละภาพไม่ธรรมดา เพราะเหมือนลอยตัวอยู่กลางอากาศนี่เป็นสไตล์การถ่ายภาพ ที่หลายคน อาจจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ นัทสึมิ ฮายาชิ สาวญี่ปุ่นคนนี้ จริงจังกับการถ่ายภาพสไตล์นี้มาก เธอได้รับการรู้จักในนาม Tokyo’s Levitating Girl ทุกภาพ ตัวเธอ จะลอยอยู่กลางอากาศ โดยไม่ได้อาศัยโปรแกรม หรือแอพพลิเคชันใดๆ ภาพถ่ายของเธอ เต็มไปด้วยจินตนาการสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งแต่ การดูดฝุ่นแบบลอยตัว ยืนโทรศัพท์สาธารณะแบบลอยตัว หรือแม้แต่การนั่งรถไฟฟ้า แบบลอยตัว

เธอเล่าว่า การถ่ายภาพแต่ละครั้ง เธอถ่ายด้วยตัวเอง บางครั้งก็ให้เพื่อนช่วยบ้าง มีขาตั้งกล้อง พร้อมกล้อง จากนั้นตั้งเวลาถ่าย 10 วินาที เพื่อกระโดด บางรูป เธอต้องกระโดดถึง 200 ครั้ง เพราะหามุมกล้อง และจัดองค์ประกอบของร่างกายให้ถูกใจ สถานที่ ที่เธอถ่ายส่วนใหญ่ คือ โตเกียว ตามถนน สถานีรถไฟ ร้านหนังสือ ร้านอาหารต่างๆ โดยต้องพยายามหาจังหวะที่ไม่มีคน หรือไม่มีใครสนใจ

หลายๆ คนอาจจะเห็นกระแสฮิปสเตอร์มาแรงในยุคนี้ แน่นอนว่าเทรนด์ฮิปสเตอร์มักจะใช้แอพฟิลเตอร์ภาพแบบ VSCO Cam นั่นเอง แต่ถ้าฮิปฯ ไปกว่านั้น ไม่อยากถูกกำหนดว่าชีวิตของเราจะมีฟิลเตอร์ได้แค่เท่าที่มีคนสร้างมาให้ ฉันจะกำหนดเอง! จะผสมเอง และเลือกผลลัพธ์เอง งานนี้ต้องลองแอพ Shift แล้ว สำหรับแอพ Shift นั้นแม้จะมีลูกเล่นอยู่เท่านี้ (เลือกตำแหน่ง, ปรับขนาดของตัวเลือก, สี) แต่ก็ได้รับความสนใจจากชาวฮิปฯ เมืองนอกพอสมควร อาจจะเป็นเพราะความง่ายของมัน แต่มีประสิทธิภาพสูงนั่นเอง ถ้าใครจะลองเอาไปใช้ร่วมกับ VSCO Cam หรือแอพอื่นๆ ก็ลองดูเลยนะ ถ้าได้ภาพสวยๆ ยังไง เอามาแปะอวดกันด้วยล่ะ ส่วนข้าพเจ้าไร้ลีลาด้านศิลป์ โปรดอภัยหากรีวิวแล้วภาพไม่ได้แสดงศักยภาพของแอพออกมาอย่างถึงกึ๋นขอร้าบ

เทคโนโลยีงานถ่ายภาพและ Painting

ถ้าจะพูดถึงขอบเขตงานด้านศิลปะที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์นั้นอาจแบ่งได้หลายสาขาวิชา แต่ละส่วนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันจนในบางครั้งอาจเรียกรวมกันเป็นสาขาวิชาเดียวกันก็ได้ หรือแม้แต่โปรเจ็คงานในสาขาหนึ่งๆ อาจจะต้องอาศัยทักษะของอีกสาขาวิชาหนึ่งเข้ามาใช้ในการทำงานนั้นๆ มากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ซึ่งพอจะจำแนกแบบคร่าวๆ ได้ดังนี้

Digital Photography

การถ่ายภาพดิจิตอลถือเป็นสาขาวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญและช่วยปูพื้นฐานความเข้าใจหลักการในหลายๆเรื่อง เช่น การจัดองค์ประกอบภาพหรือองค์ประกอบศิลป์ การเลือกและจัดแหล่งที่มาของแสงแต่ละประเภท การจัดไฟสตูดิโอ การถ่ายทอดอารมณ์ของภาพ เหล่านี้เราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในงานอื่นๆได้อีกหลายทางหลายสาขา เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้งานศิลปะแขนงอื่น ยิ่งปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอุปกรณ์ถ่ายภาพสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ทำให้ช่างภาพสามารถเรียนรู้เทคนิคได้ทั้งทางด้าน Photography และ Cinematography ไปพร้อมๆ กันได้แม้มีกล้องดิจิตอลเพียงตัวเดียว การพัฒนาในด้านนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องการ Retouch ตัดต่อภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

Digital Drawing/Painting

การวาดภาพและการลงสี ระบายสีภาพเป็นเหมือนทักษะพื้นฐานของงานศิลปะลำดับต้นๆ ที่เราพอจะนึกออกเมื่อพูดถึงวิชาศิลปะ ซึ่งหากจะแยกย่อยเป็นรูปแบบของการวาดแล้ว เราสามารถเลือกที่จะวาดได้ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกและทุกสรรพสิ่งที่เราสามารถจะจินตนาการออกได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะถนัดและรักที่จะวาดแนวไหน ตัวอย่างเช่น การวาดภาพคน สัตว์ สถาปัตยกรรม ทิวทัศน์ ออกแบบสิ่งของ ผลิตภัณฑ์ วาดภาพการ์ตูน เป็นต้น การพัฒนาในด้านนี้จะนำไปสู่การพัฒนาในด้านการออกแบบกราฟฟิคทั้ง 2D และ 3D รวมถึงการตัดต่อหรือสร้างเอฟเฟ็คส์ให้กับงานวิดีโอ

Digital Sculpting

เป็นทักษะวิชาใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับความก้าวหน้าของโปรแกรมออกแบบงาน 3D เริ่มต้นเป็นที่รู้จักกันดีในนามของโปรแกรม Zbrush โปรแกรมที่เราสามารถทำให้เราปั้นงานโมเดลสามมิติในคอมพิวเตอร์ได้ ต่อมาค่าย Autodesk ก็ออกคู่แข่งที่ชื่อว่า Mudbox ซึ่งมีการทำงานและความสามารถที่ไม่ต่างกันมากนักแต่รูปลักษณ์ที่ดูจะเป็นมิตรมากกว่า การปั้นโมเดลในคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรมากนัก แต่เป็นหลักการที่ต่อยอดมาจากงานศิลปะว่าด้วยการปั้นการแกะสลัก เรียกได้ว่าคนที่มีทักษะในด้านการปั้นแล้ว ก็สามารถใช้งานหรือสร้างงานโมเดลด้วยโปรแกรมเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก ขอเพียงเรียนรู้การใช้งานเครื่องมือต่างๆ ให้แม่นเท่านั้นเป็นพอ วิชาการปั้นจะนำไปใช้กับงาน 3D โมเดล และการตัดต่อเอฟเฟ็คส์ให้กับงานวิดีโอ

Digital Music/Sound Editing

วิชาที่ว่าด้วยเรื่องเสียงและเพลงซึ่งไม่จำกัดเฉพาะเจาะจงเฉพาะนักแต่งเพลงหรือนักร้องเท่านั้นนะครับ รวมไปถึงนักออกแบบเสียงเอฟเฟ็คส์ หรือที่เราเรียก Sound Effects นั่นเอง การตัดต่องานเสียงไม่ว่าจะเป็นดนตรีประกอบหรือซาวดน์เอฟเฟ็คส์นั้นเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทาง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนทั่วไปจะเรียนรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่มีใจรักและไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้เลย ทักษะวิชาในด้านนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ในงานด้านตัดต่อประเภทมัลติมีเดีย รวมไปถึงการออกแบบเกมส์

Digital Video Editing

เป็นวิชาที่ว่าด้วยการตัดต่อ ตกแต่งงานวิดีโอให้ออกมาตามความต้องการ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นการเรียบเรียง ประพันธ์และถ่ายทอดออกมาในรูปของภาพและเสียงนั่นเอง การที่จะสามารถถ่ายทอดสื่อสารออกมาได้ดีนั้น ผู้ตัดต่องานจำพวกนี้จะต้องมีทักษะในด้านการเล่าเรื่อง จิตวิทยาในการสื่อสารผ่านภาพและเสียง อารมณ์ของงานและเข้าใจธรรมชาติของผู้รับสารในแต่ละรูปแบบแต่ละประเภทด้วย ในขอบเขตของงานประเภทนี้บางงานอาจจะต้องมีการใช้ทักษะผสมผสานหรือประยุกต์ในด้านอื่นร่วมด้วย เช่น Photography/ Drawing / Painting/ รวมไปจนถึงงานด้านสามมิติมาผสมผสานเพื่อให้ได้งานที่แปลกใหม่ ฉะนั้นคนทำงานในลักษณะเช่นนี้จะต้องมีความพร้อม ไหวพริบในเชิงสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้ศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้กับงานได้อย่างลงตัวและเหมาะสม

Digital Compositing

เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการออกแบบกราฟฟิคและเอฟเฟ็คส์ให้กับงานวิดีโอ ซึ่งในบางครั้งเรามักเรียกรวมๆ ว่าเป็น “การตัดต่อวิดีโอ” ซึ่งความจริงกระบวนการสร้างงานเอฟเฟ็คส์ในด้านวิดีโอนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น Motion Graphics ซึ่งเรามักจะเห็นกันในงานไตเติ้ลรายการ โฆษณาและภาพยนตร์ต่างๆ Visual Effects ซึ่งนำมาใช้งานตัดต่อภาพยนตร์และละคร รวมไปถึงการ์ตูนด้วย หากจะเปรียบเทียบกับกระบวนการตัดต่อวิดีโอที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว การตัดต่อเปรียบเสมือนการเรียบเรียงเค้าโครงบทประพันธ์ ส่วนกระบวนการ Compositing เปรียบเสมือนการสร้างสีสันให้กับงานให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ผู้ที่ทำงานในส่วนนี้จะต้องประยุกต์ใช้ทักษะด้านต่างๆ ไม่ต่างไปจากกระบวนการตัดต่อ แต่ด้วยเอฟเฟ็คส์ที่เกี่ยวข้องมีความหลากหลายกว่ากระบวนการตัดต่อทั่วไป จึงอาจจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเจาะจงในเรื่องนั้นๆ เป็นพิเศษ เช่น การใช้โปรแกรมสามมิติและรวมไปจนถึงสคริปต์ซึ่งเป็นภาษาด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ

3D Modeling and Rendering

ถือเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความสามารถในหลายๆ ด้านประกอบกัน ทั้ง Drawing / Painting / Sculpting/ Photography / Cinematography และ Animation ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการสร้างงานหนึ่งๆ หรือโปรเจ็คใดโปรเจ็คหนึ่งอาจแยกย่อยงานของแต่ละสาขาตามทักษะที่ต้องการในแต่ละประเภท เช่น งาน Design หรืองานออกแบบ งานขึ้นรูป หรือ Modeling งานกำกับภาพและจัดแสง งานโครงสร้าง Rigging และงานอนิเมชั่น เป็นต้น ฉะนั้นการทำงานในด้านนี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือกันขององค์ความรู้หลายๆด้านประกอบกัน

การสร้างสรรค์งานศิลปะ 3 มิติ

หากศิลปินที่มีเทคนิคการเพนท์ด้วยสีน้ำมัน ด้วยฝีแปรงที่เป็นแบบเฉพาะของตนเอง มีความฉับไว บ่งบอกถึงความมั่นใจในการตัดสินใจในการลงแปรง ในแต่ละครั้ง คอมพิวเตอร์ก็สามารถทำได้ หรือศิลปินที่ใช้สีน้ำในการวาดภาพท้องทะเล ที่มีความอ่อนนุ่มของสี ในการประสาน ซืมผ่าน ระหว่างสีซึ่งกันและกัน เจ้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำงานได้เช่นเดียวกัน หรือศิลปินที่ชอบการวาดภาพด้วยเกรยองค์ แสดงออกถึงความมั่นใจในการลงแสง เงา เจ้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

หรือภาพอาคาร เมือง หรือบรรยากาศในแต่ละที่ ที่ศิลปินได้ถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมๆ ด้วยความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปในภาพ ประดุจกับความฝัน เจ้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถสร้างภาพที่มีมิติ มีการเคลื่อนไหว ดึงสายตาของผู้ชมให้ตามเข้าไปสู่ความลึกของภาพ ลัดเลาะไปตามซอกมุมต่างๆ เกิดอารมณ์ที่เร้าใจ ตื่นตาตื่นใจ นั่นคือการสร้างสรรค์ผลงาน 3d หรือ 3 Dimension

ผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์งานศิลปะ 3 มิติได้ส่งผลอันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์หลากหลายด้าน กล่าวคือ 3D สามารถสร้างภาพจำลองเสมือนจริงที่สามารถนำมาประเมิน วิเคราะห์ หาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น การจำลองอวัยวะภาพในของมนุษย์ การจำลองงานสถาปัตยกรรม การจำลองการออกแบบผลิตภัณฑ์ ยานยนต์ เป็นต้น และมีประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้จากการทำงาน ในจอคอมพิวเตอร์ โดยใช้เครื่องยิงเลเซอร์บนผิวเรซินให้แข็งตัว จนก่อนรูปขึ้นตามแบบ หรือ การสร้างผลงาน 3D ในการทำภาพยนตร์การ์ตูน ที่ถ่ายทอดจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม อันส่งผลต่อทัศนคติ ความรู้สึก ต่อมนุษย์ และอาจจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้คล้อยตามได้ ผู้สร้างสรรค์ผลงาน 3D Computer Graphic ควรจะมีทักษะในด้านใด?

ผู้สร้างสรรค์งาน 3D ควรจะมีพื้นฐานทางศิลปะแบบเดิมอยู่บ้าง เนื่องจากมีควมจำเป็นในการนำเอาความรู้พื้นฐานศิลปะมาใช้ ในเรื่องของความเข้าใจเรื่องสี องค์ประกอบศิลปะ เป็นต้น อาจจะจำแนกได้ดังนี้

1. พื้นฐานทางด้านวาดเส้น และ การร่างภาพ เทคนิค การวาดเส้น หรือการร่างภาพ มีส่วนในการทำงานในด้านการถ่ายทอดความคิด ให้ออกมาเป็นรูปธรรม ในเรื่องการวาดให้เห็นทัศนียภาพ แสงเงา สัดส่วนของรูป คน สัตว์ สิ่งของ หากผู้สร้างสรรค์มีพื้นฐานทางด้านศิลปะมามากพอ จะช่วยให้ผลงานมีคุณภาพมากขึ้น

2. การระบายสี การ ระบายสีมีความสำคัญในด้านการใช้สีที่ถูกต้อง สวยงาม ให้ให้แสงในภาพ การคำนึงถึงรูปร่าง รูปทรง การทำพื้นผิวให้มีความเหมือนจริง องค์ประกอบของภาพ

3. มุมมองการถ่ายภาพแบบภาพยนตร์ ความ รู้ทางด้านการถ่ายภาพจะช่วยให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้นำเสนอมุมมองของภาพที่ น่าสนใจ การควบคุมแสง เงา สี และการจัดองค์ประกอบของภาพ

4. การถ่ายภาพนิ่ง ความรู้เรื่องการถ่ายภาพนิ่งช่วยให้ผู้สร้างสรรค์มีความเข้าใจเรื่องของ การสร้างภาพให้มีความชัดชึก ชัดตื้น แสง เงา การจัดองค์ประกอบภาพ การสร้างภาพเทคนิคพิเศษ

5. ประติมากรรม ความ รู้เรื่องประติมากรรมจะมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องของมิติ หมายถึงก่อนการขึ้นรูปทรง 3 มิติในคอมพิวเตอร์หากผู้สร้างสรรค์งานได้ฝึกปั้นหุ่น หรือมีความสามารถทางด้านนี้ จะรู้ลักษณะทางกายภาพของหุ่น ตื้น ลึก หนา บาง ได้อย่างถ่องแท้ ลดเวลาในการสร้างภาพ 3 มิติในคอมพิวเตอร์ได้มาก

6. สถาปัตยกรรม สามารถ นำความรู้มาใช้ส่วนของการวางหุ่นในด้าน Plan, Front, Side, Perspective เช่น หากต้องการสร้างภาพของร้านกาแฟที่มีเคาท์เตอร์ โต็ะ เก้าอี้ โซฟา ดังนั้นผู้สร้างสรรค์ควรจะวางตำแหน่งของวัตถุต่างๆให้มีความเหมาะสม และสมจริง